วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายเบื้องต้น 3

1. OSI คืออะไร มีหน้าที่อะไร มีกี่เลเยอร์ แต่ละเลเยอร์มีหน้าที่อะไรบ้าง
ตอบ
      -  เป็นมาตรฐานการสื่อสารคอมพิวเตอร์ระบบเปิด ซึ่งมีแบบจำลองของการเชื่อมต่อระหว่างระบบแบ่งเป็น 7 ชั้น เพื่อใช้กำหนดเป็นมาตรฐานให้กับระบบต่างๆ ให้สามารถทำงานและติดต่อถึงกันได้ โดยชั้นของ OSI Model มีไว้เพื่อใช้อ้างอิงการทำงานในการเชื่อมต่อระหว่างระบบในแต่ละชั้นการทำงาน ทั้งนี้เพื่อช่วยลดขนาดของปัญหาในการเชื่อมต่อให้เล็กลง ลองนึกดูถ้าเราไม่มีการแบ่งชั้นการทำงานหากมีปัญหาเกิดขึ้นมาเราไม่สามารถรู้ได้ว่าปัญหาเกิดขึ้นที่ไหน จะเริ่มแก้ปัญหาจากที่ใด การใช้เวลาในการแก้ปัญหาก็ต้องใช้เวลานาน แต่ถ้าเราแบ่งการทำงานออกเป็นส่วนย่อย ๆ หากมีปัญหาเกิดเราก็สามารถรู้ได้ว่าปัญหาเกิดที่ส่วนใด การแก้ปัญหาก็สามารถทำได้รวดเร็วขึ้น และความสำคัญอีกข้อหนึ่งของ OSI Model คือ เพื่อให้ผู้ผลิตแต่ละรายสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถทำงานร่วมกันได้และไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นจากศูนย์และต้องทำให้ครบทุกองค์ประกอบ แต่สามารถพัฒนาขึ้นมาเพียงชั้นเดียวจากจำนวน 7 ชั้นแล้วนำไปใช้งานร่วมกับชั้นอื่นที่มีการพัฒนาไว้แล้วโดยหลักการแล้วแต่ละชั้นจะติดต่อกับชั้นในระดับเดียวกันที่อยู่บนเครื่องอีกเครื่องหนึ่ง
1.Application Layer - ชั้นที่เจ็ดเป็นชั้นที่อยู่ใกล้ผู้ใช้มากที่สุดและเป็นชั้นที่ทำงานส่งและรับข้อมูลโดยตรงกับผู้ใช้ ตัวอย่างเช่น ซอร์ฟแวร์โปรแกรม ต่างๆที่อาศัยอยู่บนเลเยอร์นี้ เช่น DNS,HTTP,Browser เป็นต้น       
2.Presentation Layer - ชั้นที่หกเป็นชั้นที่รับผิดชอบเรื่องรูปแบบของการแสดงผลเพื่อโปรแกรมต่างๆที่ใช้งานระบบเครือข่ายทำให้ทราบว่าข้อมูลที่ได้เป็นประเภทใด เช่น [รูปภาพ, เอกสาร, ไฟล์วีดีโอ]
3.Session Layer - ชั้นที่ห้านี้ทำหน้าที่ในการจัดการกับเซสชั่นของโปรแกรม ชั้นนี้เองที่ทำให้ในหนึ่งโปรแกรมยกตัวอย่างเช่น โปรแกรมค้นดูเว็บ (Web browser) สามารถทำงานติดต่ออินเทอร์เน็ตได้พร้อมๆกันหลายหน้าต่าง
4.Transport Layer - ชั้นนี้ทำหน้าที่ดูแลจัดการเรื่องของความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการสื่อสาร ซึ่งการตรวจสอบความผิดพลาดนั้นจะพิจารณาจากข้อมูลส่วนที่เรียกว่า checksum และอาจมีการแก้ไขข้อผิดพลาดนั้นๆ โดยพิจารณาจาก ฝั่งต้นทางกับฝั่งปลายทาง (End-to-end) โดยหลักๆแล้วชั้นนี้จะอาศัยการพิจารณาจาก พอร์ต (Port) ของเครื่องต้นทางและปลายทาง
5.Network Layer - ชั้นที่สามจะจัดการการติดต่อสื่อสารข้ามเน็ตเวิร์ค ซึ่งจะเป็นการทำงานติดต่อข้ามเน็ตเวิร์คแทนชั้นอื่นๆที่อยู่ข้างบน
6.Data Link Layer - ชั้นนี้จัดเตรียมข้อมูลที่จะส่งผ่านไปบนสื่อตัวกลาง
7.Physical Layer - ชั้นสุดท้ายเป็นชั้นของสื่อที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร ซึ่งอาจจะเป็นทั้งแบบที่ใช้สายหรือไม่ใช้สาย ตัวอย่างของสื่อที่ใช้ได้แก่ Shield Twisted Pair (STP), Unshield Twisted Pair (UTP), Fibre Optic และอื่นๆ
2.SNA คืออะไร มีหน้าที่อะไร มีกี่เลเยอร์ แต่ละเลเยอร์มีหน้าที่อะไรบ้าง
ตอบ สถาปัตยกรรมเครือข่ายอีกชนิดหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นสถาปัตยกรรมมาตราฐานแบบหนึ่งซึ่งต่างไปจาก 
สถาปัตยกรรมชุดโปรโตคอล TCP/IP ซึ่งมีต้นตอมาจากการทหาร นั่นคือสถาปัตยกรรม SNA (System Network Architecture) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมเครือข่ายของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ของบริษัท IBM นับเป็น สถาปัตยกรรมทางการค้ามากกว่าที่จะเป็นสถาปัตยกรรมมาตราฐานสากล เช่น สถาปัตยกรรมรูปแบบ OSI แต่อย่างไรก็ตามมีผู้ใช้จำนวนไม่น้อยที่ใช้เครืองคอมพิวเตอร์ทั้งเครื่องเมนเฟรม มินิคอมพิวเตอร์ และเครื่อง PC ของบริษัท IBM และรูปแบบของโครงสร้าง และโปรโตคอลของสถาปัตยกรรม SNA ก็ถือว่ามีรูปแบบที่ได้ กำหนดไว้ชัดเจน และใช้งานจริงอยู่ในปัจจุบัน 
  สถาปัตยกรรม SNA ได้เริ่มใช้ครั้งแรกเมื่อปี 1974 เพื่อเป็นรูปแบบของเครือข่ายสำหรับการ 
เชื่อมโยงการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร หรืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์โดยปราศจากความผิดพลาดในการสื่อสาร ข้อมูล และมีความเชือถือ รูปแบบและโครงสร้างของ SNA ได้มีการพัฒนาเรื่อย ๆ มาจนกลายมาเป็นรูปแบบ ของ SNA ในปัจจุบัน ลักษณะของการแบ่งชั้นของเลเยอร์จะแบ่งออกเป็น 7 เลเยอร์เท่ากับในรูปแบบ OSI ดังภาพ
3. TCP/IP คืออะไร มีหน้าที่อะไร มีกี่เลเยอร์ แต่ละเลเยอร์มีหน้าที่อะไรบ้าง
ตอบ โครงสร้างของสถาปัตยกรรมของชุดโปรโตคอล TCP/IP นั้นแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ๆ คือส่วน กรรมวิธีปฏิบัติการหรือโปรเซส (Process) โฮสต์ (Host) และเครือข่าย (Network) ในส่วนของโปรเซสก็ได้ แก่ เอนทิตี้หรือแอปพลิเคชันที่ต้องการติดต่อสื่อสารนั่นเอง ทุกโปรเซสจะกระทำในเครื่องโฮสต์ (หรือสเตชั่น) ซึ่งในแต่ละโฮสต์สามารถจะมีหลาย ๆ เอนทิตี้ไดพร้อมกันการสื่อสารระหว่างเอนทิตี้ของโฮสต์เครื่องหนึ่ง หรือ หลายเครื่องจะกระทำโดยผ่านทางเครือข่ายที่โฮสต์เชื่อมต่ออยู่   การทำงานที่สัมพันธ์กันระหว่างโปรเซส โฮสต์ และเครือข่ายของสถาปัตยกรรม TCP/IP ทำให้สามารถจัดรูปแบบของสถาปัตยกรรม TCP/IP ได้เป็น 4 เลเยอร์ และสามารถกำหนดชนิดของ โปรโต- คอลที่ ทำงานในแต่ละเลเยอร์ได้เป็น 4 แบบโปรโตคอลเช่นกัน ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าในชุดโปรโตคอล TCP/IP นั้นเอนทิตี้ของแต่ละเลเยอร์อาจจะติดต่อสื่อสารข้อมุลโดยผ่านเอนทิตี้ในเล เยอร์เดียวกัน หรือเอนทิตี้ ในเลเยอร์ล่างลงไปซึ่งไม่จำเป็นจะต้องเป้นเลเยอร์ติดกันได้ เลเยอร์ของชุดโปรโตคอล TCP/IP ทั้ง 4 ชั้น คือ   1. เลเยอร์ Network Access   2. เลเยอร์ Internet   3. เลเยอร์ Host-to-Host   4. เลเยอร์ Process/Application   
รายละเอียดแต่ละเลเยอร์
  1. เลเยอร์ Network Access จะประกอบด้วยโปรโตคอลที่ทำหน้าที่ติดต่อสื่อสารเข้ากับเครือข่าย หน้าที่ของโปรโตคอลในเลเยอร์ชั้นนี้คือจัดหาเส้นทางของข้อมูลให้ระหว่าง Host กับ Host ควบคุมการไหล ของข้อมูล และควบคุมความผิดพลาดของข้อมูล  
2. เลเยอร์ Internet ประกอบด้วยขั้นตอนการอนุญาตให้ข้อมูลไหลผ่านไปมาระหว่าง Host ของ เครือข่าย 2 เครือข่ายหรือมากกว่า ดังนั้นโปรโตคอลในเลเยอร์ชั้น Internet นอกจากจะมีหน้าที่จัดเส้นทาง ของข้อมูลแล้ว ยังต้องทำหน้าที่เป็นเกตเวย์สำหรับการติดต่อกับเครือข่ายอื่นอีกด้วย  
3. เลเยอร์ Host-to-Host ประกอบด้วยโปรโตคอลที่ทำหน้าที่ส่งผ่านแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าง เอนทิตี้ของ Host ต่างเครื่องกัน นอกจากนั้นโปรโตคอลในเลเยอร์ชั้นนี้ยังมีหน้าที่ในการควบคุมการไหลของ ข้อมูลและควบคุมความผิดพลาดของข้อมุลด้วย โปรโตคอลที่ใช้กันโดยทั่วไปในเลเยอร์ชั้นนี้ ได้แก่   - โปรโตคอล Reliable Connection-oriented โดยทำหน้าที่จัดลำดับของข้อมูล ตรวจสอบ ตำแหน่งของต้นทางและปลายทางของข้อมูล ทำให้ข้อมูลนั้นเชื่อถือได้   - โปรโตคอล Datagram เพื่อลดขนาดของ Overhead ของข้อมูล และจัดเส้นทางการสื่อสาร   - โปรโตคอล Speed เพื่อเพิ่มความเร็วในการสื่อสารข้อมูลโดยการลดเวลาประวิง (Delay) .ให้เหลือน้อยที่สุด   - โปรโตคอล Real-time เป็นการรวมลักษณะของโปรโตคอล Reliable Connection-oriented กับโปรโตคอล Speed  
4. เลเยอร์ Process/Application ประกอบด้วยโปรโตคอลที่ทำหน้าที่แชร์แลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่ง กันและกันระหว่างคอมพิวเตอร์กับคอมพิวเตอร์ หรือคอมพิวเตอร์กับเทอร์มินัลที่อยู่ไกลออกไป   โปรโตคอลในแต่ละชั้นของเลเยอร์ในชุดโปรโตคอล TCP/IP ที่ DOD ได้ประกาศใช้เป็น โปรโตคอลมาตราฐานได้แก่   - โปรโตคอล MIL-STD-1777 หรือโปรโตคอล IP (Internet Protocol) ซึ่งอยู่ในเลเยอร์ชั้น Internet (MIL-STD= Military Standard)   - โปรโตคอล MIL-STD-1778 หรือโปรโตคอล TCP (Transmission Control Protocol) :ซึ่งอยู่ในเลเยอร์ชั้น Host-to-Host   - โปรโตคอลในชั้น Process/Application   โปรโตคอล MIL-STD-1780 หรือโปรโตคอล FTP (File Transfer Protocol) สำหรับการส่ง ผ่าน หรือแลกเปลี่ยนไฟล์ข้อมูลที่เป็นรหัส Binary ASCII และ EBCDIC   โปรโตคอล MIL-STD-1781 หรือโปรโตคอล SMTP (Simple Mail Transfer Protocol) สำหรับการส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์   โปรโตคอล MIL-STD-1782 หรือโปรโตคอล Telnet สำหรับการส่งข้อมูลกับเทอร์มินัลแบบ อะซิงโครนัส  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น